ความเป็นมา
คำแนะนำ
จากรายงานของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ
(UNAIDS) พบว่าในปี 2559 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกสะสมราว 36.7 ล้านคน
เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ราว 1.8 ล้านคน
และมีผู้เสียชีวิตเนื่องจากโรคเอดส์ราว 1.0 ล้านคน โดยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัสแล้วประมาณ
19.5 ล้านคน
สำหรับประเทศไทย ในปี 2559 พบรายงานมีผู้ได้รับการตรวจเลือดโดยสมัครใจในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน
ทุกสิทธิสุขภาพ ประมาณ 8.08 แสนคน สามารถค้นพบผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ รายใหม่ได้ประมาณ 2.67 หมื่นคน
(คิดเป็นร้อยละ 3.30 ของผู้ตรวจเลือด)
ในจำนวนนี้เป็นหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อฯ ถึง 585 คน ผู้มีผลเลือดพบเชื้อฯ
ส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงานกลุ่มอายุช่วง 25-49 ปี ถึงประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ทั้งหมด สัดส่วนของอัตราเพศชาย ต่อเพศหญิง พบว่าเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2.19 เท่า
คาดประมาณว่าปี 2560 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีมียังมีชีวิตอยู่ประมาณ 4.42
แสนคน
โดยมีผู้รู้สถานการณ์ติดเชื้อเอชไอวีของตนเองและได้รับการวินิจฉัยแล้ว ประมาณ 4.31
แสนคน (ร้อยละ 98 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด)
ในจำนวนนี้มีผู้ที่กำลังรักษาด้วยยาต้านไวรัสประมาณ 3.02 แสนคน
(ร้อยละ 70 ของผู้ที่ได้รับวินิจฉัยแล้ว)
จากการวิเคราะห์ข้อมูล
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก คือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
/ผู้ป่วยเอดส์ จะอยู่ในเขตเมืองถึงประมาณเกือบร้อยละ
50 ที่เหลือจะกระจายอยู่นอกเขตเมือง
ผลกระทบ
กว่า 30 ปีที่ผ่านมา การติดเชื้อเอชไอวีเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ
ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมต่อทุกประเทศทั่วโลก ด้วยขณะนี้โรคเอดส์ยังไม่มียารักษาให้หายขาด
มีเพียงยาต้านไวรัสที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อเอชไอวีในร่างกาย
และลดการเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสเท่านั้น และต้องกินยารักษาไปตลอดชีวิต เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
จุดอ่อนหรือจุดเปราะบางที่ผ่านมา คือ ประชาชนยังคงมีพฤติกรรมสุขภาพทางเพศเสี่ยงสูงโดยเฉพาะในกลุ่มคู่ผลเลือดต่างในคู่สามีและภรรยา ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
การเปลี่ยนคู่นอนและไม่รู้สถานะของการติดเชื้อเพราะยังไม่ได้ตรวจเลือด
เยาวชนมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นอายุเฉลี่ยการมีเพศสัมพันธ์ลดลง
อัตราการใช้ถุงยางอนามัยต่ำเมื่อมีเพศสัมพันธ์ การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ความรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เรื่องโรคเอดส์ยังไม่สม่ำเสมอและทั่วถึง
จึงยังไม่เกิดความตระหนักที่มากเพียงพอ ส่งผลให้ในแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ลดลงตามเป้าหมายที่กำหนด อีกทั้งการเข้าถึงถุงยางอนามัยยังไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป
โรคเอดส์เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสเอชไอวี
ช่องทางหลักการติดต่อถ่ายทอดเชื้อนี้มากที่สุดกว่าร้อยละ 84 คือ
ทางการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่มีเชื้อในร่างกายกับบุคคลทั่วไป
ทั้งระหว่างชายกับหญิง ชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง ทั้งโดยทางช่องคลอด ทางทวารหนัก
และการใช้ปากกับอวัยวะเพศคู่นอนที่มีเชื้อเอชไอวี
ที่เหลือมาจากสาเหตุอื่น เช่น
ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน จากเลือด จากแม่สู่ลูก
ฯลฯ
หากมีอาการผิดปกติใดๆ หลังการมีเพศสัมพันธ์
ควรประเมินตัวเองเบื้องต้นด้วยแบบประเมินออนไลน์ที่ที่เว็ปไซต์ https://t.co/X7tf7iww2s หรือการให้แอพพลิเคชั่น Line เพิ่มเพื่อนแสกนคิวอาร์โค้ด
และเปิดทำแบบประเมินตนเองออนไลน์ฯ ถ้าผลว่าเสี่ยงสูงควรรีบไปรับบริการขอคำปรึกษาจากสถานบริการสาธารณสุข
โรงพยาบาลของรัฐ หรือเอกชนเขตเมืองทุกแห่งที่สะดวก
บทสรุปเชิงนโยบาย
1.
ควรมีแผนยุทธศาสตร์เอดส์ในระดับจังหวัด
กับเขตเมืองใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน
และมีส่วนร่วมผูกพันในการปฏิบัติกับองค์กรทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ที่สามารถติดตามผลสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม
2. สำนักงานเทศบาล
ควรมอบนโยบาย สนับสนุนการดำเนินงาน และกำกับ ติดตาม กิจกรรมป้องกันโรคเอดส์และเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงในแต่ละสถานประกอบการ
และชุมชนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
3. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
และโรงพยาบาลในเขตเมือง ควรให้ความร่วมมือแบ่งปันคืนข้อมูลและชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงแยกเป็นรายเขตเทศบาล
ประสานให้เกิดแผนที่ทำงาน
ระดมทรัพยากรในการดำเนินกิจกรรมป้องกัน ที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม ก่อให้เกิดการประสาน
เชื่อมโยงสนับสนุนกันและกัน ของแต่ละภาคส่วน องค์กร เอื้อประโยชน์ในการทำงานระหว่างกัน
" สวมเสื้อผ้าเพื่อปกป้องร่างกาย สวมถุงยางอนามัยเมื่อเสี่ยงทุกครั้ง
หยุดยั้งโรคเอดส์ “
ผู้เรียบเรียง : เภสัชกรเชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ