ความเป็นมา
องค์การอนามัยโลก รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 1.25 ล้านคนต่อปี
หรือกว่า 3,400 คนต่อวัน ผู้เสียชีวิตจะอยู่ในกลุ่มอายุ
น้อย 15-29 ปี โดยผู้เสียชีวิต 3 ใน 4 เป็นเพศชาย ราวร้อยละ 49 ของการเสียชีวิต
คือกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ คนเดินถนน และผู้ใช้จักรยาน ปัจจัยเสี่ยงหลัก 5 ประการของการเสียชีวิตและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน
ได้แก่ เมาแล้วขับ การขับรถเร็วเกินกำหนด การไม่ใช้หมวกกันน็อคเมื่อขับขี่รถจักรยานยนต์
การไม่ใช้เข็มขัดนิรภัย และการไม่ใช้เบาะนิรภัยในรถสำหรับเด็ก
มากกว่า 90% ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และปานกลางถึงแม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีจำนวนยานพาหนะน้อยเพียงครึ่งหนึ่งของยานพาหนะทั่วโลกก็ตาม
หากไม่มีการดำเนินการใดๆ จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรในแต่ละปีคาดว่าจะกลายเป็นเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่
7 ภายในปี ค.ศ. 2030 มีการคาดการณ์ว่า ในช่วงเวลาครึ่งแรกของศตวรรษที่
21 จะมีผู้เสียชีวิต 75 ล้านคนและผู้บาดเจ็บ
750 ล้านคนจากอุบัติเหตุทางถนน
จากรายงานขององค์การอนามัยโลก จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับ 2 ของโลก อันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมากถึงปีละประมาณ
24,000 คน หรือชั่วโมงละ 3 คน นอกจากนี้ พบว่ามีผู้บาดเจ็บเกือบ 1 ล้านคน นอนรักษาตัวโรงพยาบาลประมาณ 2 แสนคนต่อปี
และมีผู้พิการอีกปีละกว่า 7,000 คน
พบว่าอุบัติเหตุทางถนนในเมืองใหญ่ ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตมากถึงร้อยละ
30 – 40 ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งจังหวัด
เนื่องจากมีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น มีแรงงานหลั่งไหลเข้ามาทำงานในเมือง
มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการคมนาคมขนส่ง อัตราการเสียชีวิตจำนวนมากในเมืองใหญ่เช่นนี้ จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
ผลกระทบ
อุบัติเหตุทางถนนไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเศร้าโศกและทุกข์ทรมานเท่านั้น
แต่ยังส่งผลต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจของผู้ประสบเหตุ
ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติในภาพรวมด้วย คิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของประเทศ ค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้บาดเจ็บจำนวนมากสร้างภาระหนักต่อระบบสุขภาพ
ต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของโรงพยาบาล จำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า
นี่คือวิกฤติด้านสาธารณสุข และการพัฒนาที่คาดว่าจะรุนแรงกว่าเดิมหากไม่ได้รับการแก้ไข
องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ประเทศต่างๆ
แก้ไขเรื่องความปลอดภัยทางถนน ในระยะสั้นควรดำเนินมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิผล
เช่น การผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยง การบังคับใช้กฎหมาย และสนับสนุนการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อเพิ่มความตระหนักต่อสาธารณะ
ส่วนในระยะยาว ให้เน้นที่
“การดำเนินการในภาพรวม” ซึ่งครอบคลุมภาคส่วนต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ ผู้ใช้ท้องถนน และสภาพท้องถนน เนื่องจากร่างกายมนุษย์นั้นได้รับการบาดเจ็บได้ง่าย
และทำความผิดพลาดได้เสมอ
ประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านความปลอดภัยทางถนนได้นำแนวคิดนี้ไปใช้งาน
และสามารถลดการบาดเจ็บบนท้องถนน ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้เดินเท้าลงได้อย่างมาก เช่น
ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้สร้างโซนการขับขี่ด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. ออกแบบถนนและยกระดับทางข้ามเป็นแบบเดียวกัน
ทำให้สามารถมองเห็นได้ง่าย และมาตรการด้านพาหนะ เช่น ด้านหน้ารถยนต์ที่เป็นมิตรต่อคนเดินถนน
ด้านข้อมูลและการศึกษาด้านพฤติกรรม ในกลุ่มบุคคลที่เมาแล้วขับ
และขับรถเร็วเกินกำหนด
ข้อมูลเหล่านี้ส่งผลดีมากขึ้นต่อความปลอดภัยของคนเดินถนน
นอกจากนี้ยังให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อความต้องการเฉพาะของเด็กและคนชรา ประชากรของประเทศเนเธอร์แลนด์
ได้ยอมรับและสนับสนุนเพื่อสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย และความก้าวหน้าที่มุ่งเน้นที่ความปลอดภัยทั่วทั้งชุมชน
บทสรุปเชิงนโยบาย
ระหว่างปี ค.ศ.2011-2020
( พ.ศ.2554-2563) แผนระดับโลกจัดเป็นทศวรรษแห่งการดำเนินการด้านความปลอดภัยทางถนน
มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดจำนวนการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน โดยได้กำหนด “5 เสาหลัก” หรือประเด็นเพื่อการป้องกันไว้มาเพื่อชดเชยความผิดพลาดของมนุษย์
คือ การจัดการความปลอดภัยทางถนน , ถนนและการคมนาคมที่ปลอดภัยมากขึ้น , ยานพาหนะที่ปลอดภัยมากขึ้น
, ผู้ใช้ถนนที่ปลอดภัยมากขึ้น , การตอบสนองหลังอุบัติเหตุได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
เพื่อมุ่งที่จะช่วยชีวิตประชาชนพลิกแนวโน้มของการเสียชีวิตและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วโลก
สามารถที่จะป้องกันประชาชนมากกว่า 5 ล้านคนไม่ให้เสียชีวิต และกว่า
50 ล้านคนไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ
สำหรับประเทศไทย
ได้ตั้งเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนลงร้อยละ 50 ภายในปี 2563
หรืออัตราการเสียชีวิต 10 ต่อประชากรแสนคน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะดำเนินการเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้
จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ หน่วยงาน ร่วมกับภาคีเครือข่ายดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างจริงจัง
เพื่อให้เกิดการบูรณาการในทุกระดับร่วมกัน และที่สำคัญต้องได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่น
เทศบาล ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ จึงจะทำให้ปัญหานี้บรรเทาความรุนแรง
และลดความสูญเสียลงได้
ในเขตเมืองใหญ่ควรมีกิจกรรมสำคัญ คือ ส่งเสริมให้มีกลไกการจัดการข้อมูล เพื่อเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที วิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และมีการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ผ่านกล้อง CCTV (Situation Room) แล้วนำภาพการเกิดอุบัติเหตุจากกล้อง ฯ มาวิเคราะห์หาสาเหตุ รวมทั้งมีการสอบสวนการบาดเจ็บ เพื่อนำมาแก้ไขความเสี่ยงที่เกิดขึ้น , จัดให้มีการกำหนดพื้นที่ควบคุมพิเศษเพื่อเป็นเขตจราจรปลอดภัย (Traffic Safety Zones) ในการใช้พื้นที่จราจร การคาดเข็มขัดนิรภัย , การสวมหมวกนิรภัย , งดใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ , งดใช้สารเสพติดขณะขับขี่ , จัดการความปลอดภัยในเด็ก , จัดการความปลอดภัยของรถจักรยาน และสนับสนุนให้เกิดมาตรการองค์กรความปลอดภัยทางถนนขึ้นในเขตเมือง
ในเขตเมืองใหญ่ควรมีกิจกรรมสำคัญ คือ ส่งเสริมให้มีกลไกการจัดการข้อมูล เพื่อเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที วิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และมีการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ผ่านกล้อง CCTV (Situation Room) แล้วนำภาพการเกิดอุบัติเหตุจากกล้อง ฯ มาวิเคราะห์หาสาเหตุ รวมทั้งมีการสอบสวนการบาดเจ็บ เพื่อนำมาแก้ไขความเสี่ยงที่เกิดขึ้น , จัดให้มีการกำหนดพื้นที่ควบคุมพิเศษเพื่อเป็นเขตจราจรปลอดภัย (Traffic Safety Zones) ในการใช้พื้นที่จราจร การคาดเข็มขัดนิรภัย , การสวมหมวกนิรภัย , งดใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ , งดใช้สารเสพติดขณะขับขี่ , จัดการความปลอดภัยในเด็ก , จัดการความปลอดภัยของรถจักรยาน และสนับสนุนให้เกิดมาตรการองค์กรความปลอดภัยทางถนนขึ้นในเขตเมือง
" ลดอัตราอุบัติเหตุทางถนนในเมืองใหญ่ ลดการบาดเจ็บและตายได้ครึ่งหนึ่ง“
เรียบเรียงโดย เภสัชกรเชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ
ที่มา : 1. ชุดข้อมูลสรุป ความปลอดภัยทางถนน:
ข้อเท็จจริงเบื้องต้น องค์การอนามัยโลก สืบค้น ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2560
2. สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค สืบค้น ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2560